ปรากฎการณ์แสงเหนือแสงใต้ (Aurora Polaris)

     Video by.. Terje Sorgjerd

เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม พบได้เฉพาะบริเวณใกล้ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้

เช่น แคนาดา รัฐอลาสก้าของสหรัฐอเมริกา นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ รัสเซีย แต่บางครั้งอาจจะปรากฏให้เห็นในที่ซึ่งอยู่ละติจูดต่ำลงมา ถ้าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นบริเวณใกล้ขั้วโลกเหนือเรียกว่าแสงเหนือ (northern lights) หรือเรียกเป็นทางการว่าแสงออโรรา บอรีเอลิส (aurora borealis) แต่ถ้าเกิดใกล้ขั้วโลกใต้จะเรียกว่าแสงใต้ (southern lights) หรือแสงออโรรา ออสตราลิส (aurora australis)

556000010704101

อริสโตเติล (ARISTOTLE)

ผู้แรกที่พยายามบอกว่าแสงเหนือแสงใต้เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติคือ อริสโตเติล ปรัชญาเมธีชาวกรีก ซึ่งยืนยันว่าแสงเหนือไม่ใช่ปรากฏการณ์จากท้องฟ้า แต่เป็นไอระเหยจากโลกแล้วเกิดการสับดาปกับชั้นบรรยากาศ   ถึงคำอธิบายนี้จะไม่ถูกต้องนัก แต่ก็ต้องยกความดีความชอบให้แก่ท่านในความพยายามที่จะให้มนุษย์คิดอย่างวิทยาศาสตร์มากกว่าเชื่ออย่างงมงาย เมื่อวิทยาการต่าง ๆ เจริญรุดหน้ามากขึ้นในศตวรรษที่ 20 ทำให้เราเข้าใจปรากฏการณ์แสงประหลาดนี้ได้อย่างถูกต้องตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรก

Alf_Collett_av_Asta_Nørregaard_OB.00253

คริสเชียน เบิร์กแลนด์ ( Kristian Birkeland)

ในปี1896ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับแสงออโรรามาจากนักวิทยาศาสตร์ชาวนอร์เวย์ Kristian Birkeland – คริสเชียน เบิร์กแลนด์(1867-1917) โดยเขาเสนอว่าแสงออโรราเกิดจากอนุภาคมีประจุไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ถูกสนามแม่เหล็กโลกดึงมันเข้าสู่บริเวณขั้วโลกจริงๆแล้วเขาไม่ใช่คนแรกที่เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับอนุภาคจากดวงอาทิตย์แต่ผลงานของเขาโดดเด่นเนื่องจากเขาสามารถทำการทดลองในเรื่องนี้ได้  เมื่อเกิดปรากฏการณ์ผิวดวงอาทิตย์ปะทุขึ้น จะปลดปล่อยอนุภาคอิเลกตรอนทุกทิศทุกทางไปในห้วงอวกาศ เรียกว่าลมสุริยะ (Solar wind)?เมื่อลมสุริยะผ่านเข้ามาใกล้โลก ขั้วแม่เหล็กโลกจะดึงดูดอนุภาคอิเลกตรอนบางส่วนเข้าหา ขณะที่อิเลกตรอนผ่านเข้าใกล้ชั้นบรรยากาศโลก จะกระทบกับอะตอมหรือโมเลกุลของแก๊สที่ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ จึงทำให้เกิดการเรืองแสงเช่นเดียวกับการทดลองเรื่องอิเลกตรอนในหลอดสุญญากาศของเซอร์วิลเลียม คุก

แสงเหนือแสงใต้มีสีสันต่าง ๆ ส่วนใหญ่ที่พบจะมีสีเขียวหรือสีขาว สีอื่นที่พบได้บ้าง เช่นสีแดง สีน้ำเงิน สีม่วง สีเหลือง นอกจากนี้สีของแสงออโรราขึ้นอยู่กับชนิดของแก๊สที่ถูกอิเลกตรอนชน สีที่เห็นส่วนใหญ่คือสีเขียวหรือขาวอมเขียว ซึ่งเกิดจากอิเลกตรอนชนกับอะตอมของแก๊สออกซิเจนที่ชั้นความสูงไม่มาก บางครั้งจะเห็นสีแดงที่ปลายด้านล่าง เกิดจากอิเลกตรอนกระทบกับโมเลกุลของออกซิเจนหรือไนโตรเจนในชั้นบรรยากาศที่อยู่ต่ำลงมา

This slideshow requires JavaScript.

 

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก:
wonderfulworld-bell.blogspot.com, http://www.narit.or.th
http://teen.mthai.com/variety/73134.html

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ

Video By .. Sivakorn Pookanha

 

1.พีระมิดอียิปต์ (The Pyramids of Egypt)

     พีระมิดอียิปต์เป็นสิ่งมหัสจรรย์ยุคโบราณเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงสภาพเกือบสมบูรณ์เหมือนใน อดีต  ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์   ณ  เมืองกีเซ (Giza) ตอนเหนือของกรุงไคโร  เมืองหลวงของอียิปต์  ประกอไปด้วยพีระมิดใหญ่  3  องค์  คือ  พีระมิดที่บรรจุพระศพของฟาโรห์คีออปส์ (Cheops)  คีเฟรน (Chephren)  และไมเซอริมุส (Mycerimus)  พีระมิดคีออปส์เป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด  สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ  3500  ปีก่อนคริสต์ศักราช  เดิมสูงถึง  481 ฟุต  แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ  450  ฟุต  ฐานของพีระมิดครอบคลุมพื้นที่ประมาณ  32.5  ไร่ ( 13  เอเคอร์ )  สร้างขึ้นโดยการใช้หินทรายตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยมก้อนละประมาณ  2.5ตัน  ถึง  30  ตัน   โดยใช้หินทั้งหมดกว่า  2.3  ล้านก้อน  ใช้แรงงานทาสและกรรมกรในการก่อสร้างประมาณ 100,000 คน  ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ  20  ปี สำหรับพีระมิดคีเฟรนหรือพีระมิดรูปสฟิงซ์ซึ่งเป็นคนครึ่งราชสีห์    โดยมีใบหน้าเป็นคนมีตัวเป็นราชสีห์อยู่ในท่าหมอบเฝ้าหน้าพีระมิดคีออปส์สูงประมาณ 66 ฟุต

This slideshow requires JavaScript.

2.ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย  (The Pharos (Lighthouse) of Alexandria)

     ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย  ตั้งอยู่บนเกาะฟาโรสริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  ณเมืองอเล็กซานเดรีย  ประเทศอียิปต์   สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ  270  ปีก่อนคริสต์ศักราช   ในสมัยของพระเจ้าปโตเลมีที่ 2 (Ptolemy II )   โดยสถาปนิกชากรีกนามว่า  โซสเตรโตส (Sostratos)   ตัวประภาคารสูงประมาณ  200 – 600  ฟุต   สร้างด้วยหินอ่อนสลักลวดลายวิจิตรบรรจงมาก   มีบันไดวนเป็นทางขึ้นไปสู่ยอดประภาคาร   ซึ่งมีตะเกียงขนาดใหญ่ส่องแสงสว่างเห็นได้ชัดในยามค่ำคืน   ทำให้อเล็กซานเดรียเป็นเมืองท่าที่งดงามยิ่งนัก   แต่ในศตวรรษที่ 13 ประภาคารฟาโรสได้พังทลายลงเนื่องจากเกิดแผ่นดินไหว

This slideshow requires JavaScript.

 

3.สวนลอยแห่งบาบิโลน (The Hanging Garden of Babylon)

     สวนลอยแห่งบาบิโลนตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส  บนผืนแผ่นดินของประเทศอิรักในปัจจุบัน สวนลอยบาบิโลนเป็นสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2  (Nebuchadnezzar II) แห่งกรุงบาบิโลเนียทรงดำริให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอุทยานพักผ่อนแด่พระมเหสีของพระองค์      เมื่อประมาณ  600 ปีก่อนคริสต์ศักราช  สวนลอยที่สร้างบนพื้นดินกึ่งทะเลทรายนี้มีลักษณะเป็นชั้นลดหลั่นกันขึ้นไปสูงประมาณ  75  ฟุต  บนพื้นที่ 400 ตารางฟุต  ระเบียงของแต่ละชั้นได้รับการตกแต่งด้วยการปลูกไม้ดอก  ไม้พุ่ม  และไม้ยืนต้นต่างๆ  โดยมีระบบชลประทานชักรอกน้ำจากแม่น้ำยูเฟรติสขึ้นไปสู่ชั้นบนสุด  เพื่อปล่อยให้ไหลลงมายังชั้นต่างๆ สร้างความชุ่มชื้นให้แก่ต้นไม้ตลอดทั้งปี  ส่วนผนังแต่ละด้านประดับประดาด้วยกระจกสีอย่างสวยงาม  ปัจจุบันสวนลอยบาบิโลนได้พังทลายสูญหายไปหมดแล้ว

This slideshow requires JavaScript.

 

4.สุสานมุสโซเลียมแห่งฮาลิคานาสซัส  (The  Mausoleum  at Halicarnassus)

     สุสานมุสโซเลียม  สร้างขึ้นโดยพระนางอาเตมีเชีย  พระมเหสีของกษัตริย์มุสโซลุส (Mausolus) แห่งคาเรีย  เพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์มุสโซลุสหลังจากที่พระองค์สวรรคตเมื่อประมาณ  353  ปีก่อนคริสต์ศักราช  ตั้งอยู่ที่เมืองฮาลิคานาสซัสหรือเมืองซาเรีย   ในประเทศอิหร่านปัจจุบัน   ตัวสุสานสูงประมาณ  135  ฟุต   ความยาวฐานโดยรอบ  460  ฟุต   สร้างด้วยหินอ่อนล้วน   หลังคาชั้นบนสุดเป็นฐานสี่เหลี่ยมมีรูปแกะสลักของพระเจ้ามุสโซลุสประทับราชรถเทียมม้าอย่างสง่างาม   แต่ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 – 13  ได้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น   ทำให้สุสานพังทลายลงมา   ปัจจุบันจึงคงเหลือแต่ซากปรักหักพังบางส่วนที่พิพิธภัณฑ์แห่งอังกฤษเก็บอนุรักษ์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังศึกษากันต่อไป

This slideshow requires JavaScript.

 

5.อนุสาวรีย์โคโลสซูสแห่งเกาะโรดส์  (The Colossus of Rhodes)

     อนุสาวรีย์โคโลสซูสหรือเทพเจ้าอพอลโล (Apollo)  เป็นเทวรูปที่หล่อขึ้นด้วยทองคำสำริดในท่ายืน  ตั้งอยู่ที่เมืองโรดส์  ประเทศกรีซ  สูงประมาณ  120  ฟุต  สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 300ปีก่อนคริสต์ศักราช   โดยกษัตริย์ชาเรสแห่งลินดุส  (chares of Lindus)  ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ  12  ปี  แต่พังทลายลงหลังจากก่อสร้างได้ประมาณ 60  ปี  เนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ  224  ปีก่อนคริสต์ศักราช  และไม่ได้รัการบูรณะซ่อมแซมเป็นเวลาประมาณ  900  ปี จนกระทั่งในราวคริสต์ศตวรรษที่  10  ชาวเมืองซาราเซนส์ได้ทำการซื้อเศษทองสำริดของอนุสาวรีย์  เพื่อนำไปหล่อทำอาวุธสงครามจนหมดสิ้น  เทวรูปขนาดใหญ่ยืนคร่อมปากอ่าวให้เรือลอดผ่านไปมาแห่งนี้  จึงไม่เหลือแม้แต่เศษชิ้นส่วนของความยิ่งใหญ่ไว้เลย

This slideshow requires JavaScript.

 

6.วิหารไดอานา (อาร์เทมิส) แห่งเมืองเอฟิซูส (The Temple of Diana (Artemis) at Epesus)

     วิหารไดอานา  ตั้งอยู่ที่เมืองเอฟิซูส  ประเทศกรีซ  สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนเมื่อประมาณ 550 ปีก่อนคริสต์ศักราช  ตัววิหารกว้าง  160  ฟุต  ยาว  342  ฟุต  ด้านกว้างมีเสาหินอ่อนเรียง  8  ต้น ด้านยาวเรียง  20  ต้น  เสาแต่ละต้นสูง  60  ฟุต  เส้นผ่าศูนย์กลาง  6  ฟุต  หลังคาทำด้วยไม้มุงกระเบื้องหินอ่อน  ขนาดของวิหารครอบคลุมพื้นที่  54,720  ตารางฟุต  เป็นวิหารที่สวยงามมาก เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพธิดาอาร์เทมิสผู้เสด็จลงมาจากสรวงสรรค์เพื่อช่วยชาวเมืองให้พ้นจากภัยพิบัติและความหายนะทั้งปวง  วิหารไดอานาได้รับการบูรณะซ่อมแซมเมื่อปี ค.ศ. 186  เนื่องจากถูกไฟไหม้  แต่ปัจจุบันเหลือแต่ซากโครงร่างที่ยังคงงดงามให้ได้ศึกษากันต่อไป

This slideshow requires JavaScript.

 

7.อนุสาวรีย์เทพเจ้าซีอุส (จูปีเตอร์)แห่งโอลิมเปีย   (The Statue of Zeus (Jupeter) at  Olympia)

     อนุสาวรีย์เทพเจ้าซีอุสหรือจูปีเตอร์แห่งเมืองโอลิมเปีย  ประเทศกรีซ  สร้างขึ้นโดยปฎิมากรนามว่า ฟีดีอัส  ในช่วงเวลาระหว่าง ค.ศ. 53-111เป็นอนุสาวรีย์สลักด้วยงาช้างรูปเทพเจ้าซีอุสประทับนั่งบัลลังก์  สูงประมาณ  40  ฟุต   พระหัสถ์ขวาถือรูปจำลองเทพแห่งชัยชนะ  (A Small Figure of Victory)    พระหัสถ์ซ้ายถือคธา    ฉลองพระองค์และเครื่องประดับทำด้วยทองคำล้วน  ชาวกรีกโบราณให้ความเคารพนับถือว่าเป็นเทวรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง  แต่ปัจจุบันได้พังทลายสูญหายไปหมดเนื่องจากแผ่นดินไหว  ยังคงมีหลักฐานเหลือไว้แต่เพียงในภาพวาดและในเหรียญโบราณเท่านั้น

This slideshow requires JavaScript.

 

 

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มา :
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no02-07/marry.html http://kwanlikehistory.blogspot.com/2013/10/blog-post.html